ประวัติ ของ วัง หมิงเฉฺวียน

ชีวิตช่วงต้นและชีวิตแรกเริ่มในวงการบันเทิง (พ.ศ. 2490-2513)

วัง หมิงเฉฺวียนเกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2490 (1947) ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เธอมีพี่น้องทั้งหมด 3 คนรวมเธอด้วยโดยเธอเป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัวโดยมีพี่สาวคนโตและน้องชายคนเล็กอีกคน ตอนที่เธออายุได้ 1 ขวบพ่อกับแม่ของเธอได้แยกครอบครัวออกมาจากเดิมที่เคยอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายในเซี่ยงไฮ้ เธอได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้อยู่ช่วงหนึ่งต่อมาเมื่อเธออายุ 9 ขวบ เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองอย่างรุนแรงขึ้นในประเทศจีน จึงทำให้ครอบครัวของเธอต้องหนีสงครามและอพยพไปตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่ฮ่องกง ในราวช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีพ.ศ. 2499 (1956) และที่ฮ่องกงก็เป็นที่ที่เธอได้เรียนต่อจนจบในชั้นประถม ต่อมาเธอก็ได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยม และในช่วงนี้เองที่เธอมีความสนใจอยากจะเป็นนางพยาบาลขึ้นมา เพราะเธอมองว่าเป็นอาชีพที่มีอนาคตและมั่นคง แต่ทว่า...ด้วยผลการเรียนที่ไม่ค่อยดีนักในวิชาวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเธอยังเป็นคนกลัวเลือด เพราะทุกครั้งที่เธอเห็นเลือดเธอจะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนางพยาบาล และหันไปสนใจทางด้านศิลปะวรรณกรรมที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก

หลังจากเรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลายเมื่อปีพ.ศ. 2509 (1966) วัง หมิงเฉฺวียนในวัย 19 ปี ได้เริ่มต้นอาชีพแรกเป็นพนักงานบริษัท แต่เพียงไม่นานเธอก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะกับอาชีพนี้ จึงได้สมัครเรียนศิลปะการแสดงที่ สถาบันสอนการแสดงแห่งหนึ่ง ด้วยการแสดงที่เยี่ยมยอดของเธอ จึงได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่สอนในชั้นเรียนให้ไปสมัครเป็นนักแสดงกับทางค่ายของสถานีโทรทัศน์อาร์ทีวี ที่กำลังประกาศรับสมัครหานักแสดงอยู่พอดี ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2519 (1966)- 2510 (1967) วัง หมิงเฉฺวียนในวัยใกล้ 20 ปีได้ผ่านการคัดเลือกเข้าอบรมเป็นนักแสดงกับทางช่อง อาร์ทีวี (เอทีวี) ซึ่งในตอนนั้นมีผู้สนใจเข้าสมัครเป็นจำนวนหลายพันคนด้วยกัน แต่เธอก็สามารถผ่านการคัดเลือกและติดหนึ่งในเก้าคนเท่านั้น ที่ได้มีโอกาสเรียนหลักสูตรการแสดงกับทางค่ายอาร์ทีวี ด้วยพื้นฐานที่เธอเรียนการแสดงมาก่อน จึงทำให้เธอเรียนจบคอร์สเรียนการแสดงในรุ่นที่ 1 ก่อนคนอื่น ๆ ใน 9 คนและได้รับประกาศนียบัตรหมายเลข 001 หลังจากจบคอร์สเธอได้ทำสัญญากับสถานีโทรทัศน์อาร์ทีวีเป็นเวลา 3 ปีและเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักแสดงที่นั้น โดยประเดิมผลงานละครชิ้นแรกในปีพ.ศ. 2511 คือเรื่อง 4ใบเถา (四千金 1968) ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในฮ่องกง และกลายเป็นดาวรุ่งมาแรงของทางค่ายอาร์ทีวี

ในปีถัดมาพ.ศ. 2512 ทางค่ายอาร์ทีวีก็ให้เธอได้มีโอกาสเล่นภาพยนตร์ เรื่อง เพลงรัก...ดอกโบตั๋น (Singing Darlings 1969) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ฮิตในฮ่องกง พอสิ้นปีเธอก็ได้รับรางวัล 10 นักแสดงยอดนิยมสูงสุดประจำปีมาครอง ด้วยความสำเร็จทางด้านภาพยนตร์ทำให้ต่อมาในปีพ.ศ. 2513 เธอได้มีผลงานภาพยนตร์ตามมาอีกเรื่อง คือ บ้านสาวโสด(小姐不在家 1970) หลังจากเรื่องนี้เธอก็หมดสัญญากับทางค่ายอาร์ทีวีในราวกลางปีพ.ศ. 2513 และตัดสินใจเดินทางไปเรียนทักษะการร้องเพลงและการเต้นเพิ่มเติมที่ประเทศญี่ปุ่น โดยที่เธอหวังจะได้นำทักษะเหล่านี้ที่ได้ไปเรียนมาใช้กับวงการบันเทิงในอนาคต ซึ่งเธอเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการไปเรียนเองทั้งหมด เธอใช้เวลาเรียนที่ญี่ปุ่นนานถึง 1 ปีโดยที่เธอไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อยแต่เธอก็สามารถจบออกมาด้วยเกรดที่ยอดเยี่ยม

ช่วงมีชื่อเสียงในฮ่องกง (พ.ศ. 2514-2518)

ในราวเดือนเมษายนของปีพ.ศ. 2514 หลังจากที่ได้เรียนจบด้านการร้องเพลงและการเต้นที่ญี่ปุ่นแล้ว เธอได้เดินทางกลับมาที่ฮ่องกง แต่การกลับมาในครั้งนี้เธอไม่ได้กลับไปเป็นนักแสดงให้กับทางค่ายอาร์ทีวีเหมือนเคย แต่เธอตัดสินใจไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงให้กับทางค่ายสถานีโทรทัศน์ทีวีบี แทน และเป็นกฎของทางช่องทีวีบี ที่ต้องเข้าเรียนทักษะการแสดงกับทางช่อง อีก 1 ปี ทำให้เธอกว่าจะมีผลงานออกมาก็ปาเข้าไปในปีพ.ศ. 2516 และประเดิมผลงานชิ้นแรกกับทางค่ายทีวีบีเป็นละครสากลดราม่าเรื่อง เร้น...รักซ่อน...อารมณ์ (私戀 1973) กลายเป็นผลงานที่แจ้งเกิดในฮ่องกงให้กับเธอกลับมาเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้ง หลังจากที่เธอได้ห่างหายจากวงการไปประมาณ 2 ปี ซึ่งบทบาทที่เธอเล่นในเรื่องนี้ได้รับคำชมจากผู้ชมในฮ่องกงเป็นอย่างมาก จนทำให้ถัดมาในปีพ.ศ. 2517 ทางช่องทีวีบีได้ป้อนงานละครให้เธอติด ๆ กันมากมาย จนเธอมีผลงานเด่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ฤดูใบไม้ผลิ...รักนี้นิรันดร์ (永恆的春天 1974) ในบท "เหมาเจียงหยวน" ตามด้วยการแสดงของเธอในผลงานละครสากลแนวสงครามดราม่าเรื่อง ศึกรัก ศึกรบ (The Blue and the Black 1974) ซึ่งละครเรื่องนี้เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปีพ.ศ. 2509 ในชื่อเรื่องเดียวกัน คือศึกรัก ศึกรบ ภาค 1 และ 2 (The Blue and the Black 1-2 1966) โดยเวอร์ชันภาพยนตร์ นำแสดงโดย กวนซาน และ หลินไต้ อีกผลงานละครแนวสากลย้อนยุคเรื่อง "บีโกเนีย" (Begonia 1974) ในบทสาวผู้รอคอยรักแท้ และผลงานละครแนวตลกสุดดังของปีนั้นเรื่อง 4 สุวรรณบุปผา (四朵金花 1974) ที่เธอได้ร่วมแสดงกับนักแสดงตลกหญิงชื่อดังแห่งยุคนั้น อย่าง เจ๊อ้วน เสิ่นเตี้ยนเสีย และอีกสองสาวนักร้อง-นักแสดงที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นคือ หวังอ้ายหมิง (王愛明) กับ จางเต๋อหลัน (張德蘭) จากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ที่พวกเธอทั้งสี่คนได้แสดงร่วมกันทำให้ในปีถัดมาพ.ศ. 2518 (1975) ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเลยนำพวกเธอทั้งสี่คนมารวมตัวก่อตั้งเป็นเกิร์ลกรุ๊ป ภายใต้ชื่อ กลุ่ม 4 ดอกไม้สีทอง ซึ่งเป็นการรวมตัวกันในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อมาออกอัลบั้ม ที่ใช้ชื่อว่า สี่ดอกไม้สีทอง (Four Golden Flowers) และตัวของวัง หมิงเฉฺวียน เองที่เป็นคนคิดชื่อกลุ่มนี้ขึ้นมา ซึ่งเกิร์ลกรุ๊ปวงนี้ก็ได้รับความนิยมในช่วงนั้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องแยกวงกันไปตามทางที่ตัวเองถนัด ส่วนผลงานละครที่เด่น ๆ ในปีพ.ศ. 2518 มีมากมายหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ซูสีไทเฮา โดยในเรื่องเธอสวมบทบาทเป็น สนมเจิน, เรื่อง ความฝันในหอแดง (Dream of the Red Chamber 1975) เธอได้รับบทเด่นเป็น หลินไต้อวี้ โดยมีดาราชาย อู่เว่ยกว๋อ มารับบทเป็น เจียเป่าอวี้ นอกจากนี้ยังมีดาราสาว หวง ซิ่งซิ่ว รับบท ฉิงเหวิน และ โจวเหวินฟะ มารับบทตัวประกอบเป็น เจียงอวี้ฮั่น ตามต่อด้วยเรื่อง ละครตำนานรักพื้นบ้าน เช่นตอน "ดอกพิษเบญจมาศ", ตอน "สามยิ้มพิมพ์ใจ", ตอน "เทพธิดาลำน้ำลก" และตอน "ห้องรักหอสวาท" นอกจากนี้ยังมีละครสากลเรื่อง ปลายทางแห่งรัก เป็นต้น

เข้าสู่ยุคทองโด่งดังทั่วเอเชีย (พ.ศ. 2519-2525)

ในปีก่อน ๆ ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี มักจะนิยมหยิบเอาพวกตำนานรักพื้นบ้านมาสร้างเป็นละครตอนสั้น ๆ เช่น สามยิ้มพิมพ์ใจ, เทพธิดาลำน้ำลก และ ห้องรักหอสวาท เป็นต้นแต่ในปีพ.ศ. 2519 (1976) ถือเป็นปีแรกที่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้เริ่มหันมาสร้างละครแนวกำลังภายใน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ ที่ทางค่ายได้สร้างละครแนวกำลังภายในขึ้นมาโดยหยิบมาจากนวนิยายชื่อดังต่าง ๆ เช่นละครเรื่อง เล็กเซียวหงส์ และผลงานแนวกำลังภายในที่เธอได้ร่วมแสดงนำในเรื่อง จอมใจจอมยุทธ (The Legend Of The Book and the Sword 1976) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง ตำนานอักษรกระบี่ ของกิมย้ง โดยในเรื่อง วัง หมิงเฉฺวียน ได้รับบทเป็น ฮั่วชิงถง (ขนนกเขียวเสื้อเหลือง) และยังมีดาราดังมากมายมาร่วมแสดง เช่น เจิ้งเส้าชิว ซึ่งในเรื่องเขาต้องรับเล่นถึง 3 บทด้วยกันคือ ฟู่คังอัน, เฉินเจียลั่ว (ประมุขพรรคดอกไม้แดง) และ ฮ่องเต้เฉียนหลง, หวีอันอัน มารับบท เซียงเซียงกงจู้, หลี่ซือฉี รับบทเป็น ลั่วปิง (ดาบนกเป็ดน้ำ) และ อู่เว่ยกว๋อ ได้รับบท ฉีเทียนหง ซึ่งถือได้ว่าละครเรื่องนี้ได้ทำให้ วัง หมิงเฉฺวียน เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับเอเชียมากขึ้นแต่ยังไม่ถึงกับโด่งดังมาก นอกจากนี้เธอยังมีผลงานที่ดังเฉพาะในฮ่องกง อย่างเรื่อง ละครตำนานรักเพลงพื้นบ้าน ตอน โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (民間傳奇》之寶蓮燈 1976) โดยเธอได้ร่วมแสดงนำกับเยิ่นต๊ะหัว โดยเรื่องนี้ทางช่องทีวีบีได้นำมาสร้างเป็นละครเพลงที่เธอร้องเองทั้งเรื่อง แถมยังมีอัลบั้มเพลงประกอบละครของเรื่องนี้ออกวางขายในฮ่องกงอีกด้วย

ผลงานเด่นถัดมาในปีพ.ศ. 2520 เธอมีผลงานมากมายหลายเรื่อง แต่ที่ดังมาก ๆ คือละครสากลเรื่อง บ้านแตก (Homoe is not Home TVB 1977) ซึ่งนำแสดงโดย จูเจียง, วัง หมิงเฉฺวียน, โจวเหวินฟะ และ เยิ่นต๊ะหัว เป็นละครที่ฮิตมากเรื่องหนึ่งในปีนั้นด้วยเรตติ้งตอนอวสานที่สูงถึง 95% ในตอนนั้น(ต่อมาโดนเรื่อง มังกรหยก ภาค 1 (1983) ทำลายเรตติ้งตอนจบที่ได้มากกว่า 99%) จากความดังในการสวมบทบาทเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้และมีความมั่นใจในตัวเอง ของเธอในเรื่องนี้ กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวของเธอไปเลย นอกจากนั้นผลงานอื่นที่เด่น ๆ ยังคงเป็นพวกละครตำนานรักพื้นบ้าน ต่าง ๆ เช่น ตอน ธิดาฮ่องเต้ (The Legend of Princess Chang Ping 1977) มี 7 ตอนจบ ซึ่งวัง หมิงเฉฺวียน รับบทเป็น องค์หญิงฉางผิง และดาราชาย หวงอวิ๋นไฉ มารับบทเป็นราชบุตรเขยโจวซื่อเสียน

และในปีพ.ศ. 2521 ผลงานที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วเอเชีย คือเรื่อง ดาบมังกรหยก (Heaven Sword and Dragon Saber 1978) ซึ่งเป็นดาบมังกรหยกเวอร์ชันแรกทางจอแก้ว ที่มีความยาวทั้งหมด 25 ตอนจบโดยเธอรับบทเป็น เตี๋ยเมี่ยง นอกจากนี้ยังมีดาราดังมากมาย อย่าง เจิ้งเส้าชิว รับบท เตียบ่อกี้, เจ้าหย่าจือ รับบท จิวจี้เยียก, เฉิน อวี้เหลียน รับบท เสี่ยวเจียว, หยาง พ่านพ่าน รับสองบทคือ กีเฮียวพู้ (คนรักของเอี้ยเซียว) และบท เอี้ยปุ๊กหุ่ย (ลูกสาว เอี้ยเซียว-กีเฮียวพู้) และเฉินฟู่เซิง รับบทเป็น จูเก้าจิน หลังจากที่ได้นำออกฉายทั้งในฮ่องกงและทั่วเอเชีย ผลปรากฏว่านักแสดงนำทั้งสามคนของเรื่องนี้ คือ เจิ้งเส้าชิว เจ้าหย่าจือ และวัง หมิงเฉฺวียน ต่างโด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมาทันที อีกทั้งยังเป็นผลงานที่แจ้งเกิดให้กับสามสาวดาราหน้าใหม่ อย่าง เฉินอวี้เหลียน, หยาง พ่านพ่าน และ เฉินฟู่เซิง ให้เริ่มเป็นที่รู้จักในฮ่องกงอีกด้วย และจากความโด่งดังกับบทบาท "เตี๋ยเมี่ยง" ของเธอในผลงานละครเรื่องนี้ทำให้ วัง หมิงเฉฺวียน ก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งของสถานีโทรทัศน์ทีวีบีโดยทันที

ตามด้วยผลงานที่ทำให้เธอยิ่งเพิ่มความดังขึ้นไปอีกกับผลงานสุดฮิต เรื่อง ชอลิ้วเฮียง จอมโจรจอมใจ (Chor Lau Heung 1979) ซึ่งเป็นละครที่สร้างมาจากบทประพันธ์ของโกวเล้ง ออกฉายในปีพ.ศ. 2522 มีความยาว 65 ตอนจบ โดยแบ่งออกเป็นตอนย่อย ๆ ประกอบด้วย ชอลิ้วเฮียงตอนสยบบ่อฮวย และ ชอลิ้วเฮียงตอนเผด็จศึก นำแสดงโดย เจิ้งเส้าชิว รับบท ชอลิ้วเฮียง, เจ้าหย่าจือ รับบท โซวย่งย้ง, หลี่ซือฉี รับบท ลิ่วบ้อไบ๊, หวงซิ่งซิ่ว รับบท เก็งน่ำอี่, โอวหยังเพ่ยซัน รับบท ไข่มุกทะเลทราย เห็กเตียงจู และวัง หมิงเฉฺวียน รับบท ซิมฮุ่ยซัง ถึงแม้บทบาทของเธอในเรื่องนี้จะน้อยแต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาก็จะโดดเด่นมาก และนับได้ว่าเป็นอีกผลงานอมตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธออีกเรื่อง และผลงานละครดังถัดมาในปีเดียวกัน อย่างเรื่อง เหนือลิขิต (Over the Rainbow 1979) มีความยาว 85 ตอนจบ โดยเธอร่วมนำแสดงกับ เซี่ยเสียน, เจิ้งเส้าชิว, อลัน ทัม และนักแสดงหญิงน้องใหม่ที่เพิ่งย้ายค่ายมาจากบริษัท เจียซื่อ อย่าง เจิ้งอวี้หลิง ก็เป็นผลงานละครที่ประสบความสำเร็จมากอีกเรื่องในปีนั้น

ต่อมาปีพ.ศ. 2523 ถือได้ว่าเป็นปีทองของเธอเลยก็ว่าได้ ด้วยทั้งผลงานละครเรื่อง คมเฉือนคม (The Shell Game 1980) ที่มีความยาว 25 ตอนจบ ที่เธอนำแสดงกับ เซี่ยเสียน, เยิ่นต๊ะหัว, และ เซียะหลี และเรื่องฝันสลาย (Yesterday's Glitter 1980) ที่มีความยาว 25 ตอนจบ ที่เธอนำแสดงกับ หลิวสงเหยิน ทั้งสองเรื่องนี้นั้นต่างโด่งดังและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั่วเอเชีย ถือได้ว่าเธอขึ้นมายืนอยู่ในจุดสูงสุดในอาชีพการแสดงของเธอ อีกทั้งตัวเพลงประกอบละครทั้ง 2 เรื่อง ที่เธอเป็นคนขับร้องเองออกมาได้อย่างไพเราะกินใจก็ต่างโด่งดัง และกลายมาเป็นเพลงจีนอมตะจนถึงทุกวันนี้ และจากการสวมบทบาทเป็นหญิงสาวที่มีเลือดรักชาติอยู่เต็มตัวในละครเรื่อง คมเฉือนคม และบทเพลงประกอบละครที่มีชื่อว่า ชาวจีนที่กล้าหาญ《勇敢的中國人》 ซึ่งเธอเป็นผู้ขับร้องเอง จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการเสนอชื่อจากชาวมณฑลกวางตุ้งให้เข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนของเกาะฮ่องกง ซึ่งขณะนั้นฮ่องกงยังไม่สามารถเลือกตั้งผู้แทนที่จะเข้าประชุมกับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ได้โดยตรง

ในปีพ.ศ. 2524 ความสำเร็จยังคงต่อเนื่อง กับผลงานละครเรื่อง คมเฉือนคม ภาค 2 (The Shell Game II 1981) เป็นละครที่มีการต่อเนื่องจากภาคแรกอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตัวละครหลักอย่าง เซี่ยเสียน และ วัง หมิงเฉฺวียน ต้องเปลี่ยนบทเป็นตัวละครอื่นไป แต่ยังคงไว้กับตัวละครเดิมที่เยิ่นต๊ะหัวแสดงไว้ในภาคหนึ่งที่นำมาเชื่อมโยงสู่ภาคสอง โดยในภาคนี้ใช้ดาราจากภาคก่อนเกือบทั้งชุด คือ เซี่ยเสียน, วัง หมิงเฉฺวียน, เยิ่นต๊ะหัว และ หวงอวิ่นไฉ แต่มีดาราดังอย่าง โจวเหวินฟะ เข้ามาร่วมแสดงนำด้วยในบทอาหลง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ไม่เท่า "คมเฉือนคม ภาค1" เพราะเนื้อหาของบทละครที่เข้มข้นน้อยกว่าภาคแรกนั้นเอง ตามด้วยละครฟอร์มใหญ่แห่งปีที่หยิบยกเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์จีน นำมาสร้างเป็นละครทางโทรทัศน์ในเรื่อง 14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร (Young's Female Warrior 1981 TVB) ที่มี 30 ตอนจบ โดย วัง หมิงเฉฺวียน รับบทเป็น มู่กุ้ยอิง สะใภ้ตระกูลหยาง ร่วมนำแสดงกับ ฝงเป๋าเป่า รับบทเป็น หยางเหวินกว่าง ลูกชายคนเดียวของหยางจงเป่า-มู่กุ้ยอิง, สือซิว รับบทเป็น เจียงซ่างฟง, หยางพ่านพ่าน รับบทเป็น องค์หญิงเฟยหงแห่งซีเซี่ย ซึ่งบทบาทของเธอในเรื่องนี้ได้รับคำชมเป็นอย่างมากว่าเธอสวมบทบาทเป็น มู่กุ้ยอิง ที่ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครอื่นที่เด่น ๆ คือเรื่อง ความรักสี่ฤดู (Love Forever 1981) มี 30 ตอนจบ เธอร่วมนำแสดงกับ หลินจื่อเสียง, หวงจิ่นเซิน, เอี้ยเต๋อเสียน และ เฉินซิ่วจู จากความสำเร็จในปีนี้ทำให้ในเดือนธันวาคม เธอได้รับเลือกให้เป็น หนึ่งในสิบคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี โดยเธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกของฮ่องกงที่ได้รับเกียรตินี้

ปีพ.ศ. 2525 เธอก็ยังคงมีผลงานละครดังุล่มทลายในฺฮ่องกง อย่างเรื่อง ฟ้ามิอาจกั้น (Love and Passion 1982) ที่มี 30 ตอนจบ ซึ่งเธอได้นำแสดงกับ เซี่ยเสียน, หลี่เหลียงเหว่ย และดาราชายดาวรุ่ง กวนหลี่เจี๋ย โดยทำเรตติ้งคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 45 คะแนน ทำให้ติด 10 อันดับละครทีวับี ที่มีเรตติ้งสูงสุดในประวัติศาตาร์ กลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงชีวิตของเธอ (และละครเรื่องนี้ยังทำสถิติยอดผู้ชมดูละครทางทีวีทั่วโลกได้ถึง 233,670,040 ล้านคน จนติด สิบอันดับละครทีวีบีที่มีเรตติ้งมากที่สุดทั่วโลก ในอันดับที่ 5)

และผลงานละครดังในปีนั้นอีกเรื่องคือ รอยฝันรอยสลาย (Lady Sings the Blues 1982) ที่มี 10 ตอนจบ โดยเธอนำแสดงกับ อวี๋หยาง, โอวหยังเพ่ยซัน และ กัวฟง และในปีนี้ที่เกิดกระแสฮือฮาอย่างมากเมื่อ วัง หมิงเฉฺวียน ร่วมเล่นละครเวที เรื่อง นางพญางูขาว (White Snake 1982) กับนางเอกยอดนิยมชื่อดังอย่าง หมีเซียะ โดยเธอรับบทเป็นงูขาว ส่วนหมีเซียะรับบทเป็นงูเขียว

ความนิยมลดลง (พ.ศ. 2526-2527)

เมื่อถึงจุดสูงสุดของชีวิต ก็ย่อมต้องมีวันลงมาเช่นกัน ถือได้ว่าเป็นสัจธรรมที่ทุกคนต้องเจอ ไม่เว้นแม้แต่ดาราดังอย่างเธอก็ต้องเจอแบบนั้นเช่นกัน

ในปีพ.ศ. 2526 ด้วยกระแสความโด่งดังสุด ๆ ของละครชุดกำลังภายในฟอร์มใหญ่แห่งปีเรื่อง มังกรหยก 1983 ภาค1-4 ที่นำพาชื่อเสียงอันโด่งดังเปรี้ยงปร้างเป็นพลุแตก มาให้กับดารารุ่นน้อง อย่าง เฉินอวี้เหลียน ในบทเซียวเหล่งนึ่ง และดาราสาวดาวรุ่งหน้าใหม่ อย่าง องเหม่ยหลิง ในบท อึ้งย้ง ที่ว่ากันว่าทั้งสองต่างโด่งดังขึ้นมาแซงหน้าดารารุ่นพี่ ๆ กันเลยทีเดียว อีกทั้งในปีนี้ยังมีดาราเกิดใหม่ตามขึ้นมาอีกหลายคน อย่างเช่น หลันเจี๋ยอิง, หลิวเจียหลิง, ซังเทียนเอ๋อ และ เจิงหัวเชี่ยน เป็นต้น ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เองก็ได้มีนโยบายหันไปผลักดันส่งเสริมและป้อนงานละครให้กับนักแสดงรุ่นน้องเหล่านี้มากกว่า และแน่นอนว่าย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อนักแสดงชื่อดังรุ่นพี่ระดับเบอร์ต้น ๆ ของทางช่อง อย่างวัง หมิงเฉฺวียน, เจ้าหย่าจือ, เจิ้งอวี้หลิง และ หวงซิ่งซิ่ว โดยในปีนี้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้หันไปมอบหมายให้เธอเน้นไปทาง รับทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการสำคัญ ๆ ของทางช่องมากกว่างานทางด้านละคร เพื่อเป็นการหลีกทางให้ดาราสาวรุ่นหลัง ๆ สามารถขึ้นมาได้ และเธอก็มีผลงานเพียงแค่เรื่องเดียว คือละครเรื่อง ฮ่องกง83 (香港八三83)แต่อย่างไรก็ตามด้วยผลงานละครที่ผ่าน ๆ มาของเธอล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในฮ่องกงและทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพการแสดง จึงทำให้วัง หมิงเฉฺวียนได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนของคนในวงการบันเทิงที่ได้รับเชิญให้เข้าพิธีร่วมลงนามในงานแถลงการณ์เชื่อมความสัมพันธ์กระชับมิตรระหว่างจีน กับ สหราชอาณาจักร

ปีพ.ศ. 2527 ยังคงเหมือนเดิม เธอยังคงมีบทบาทที่เน้นไปในทางรับหน้าที่เป็นพิธีกร เพราะทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เน้นไปปลุกปั้นนักแสดงหน้าใหม่ ๆ ให้ขึ้นมามีชื่อเสียงมากกว่า และตัวเธอเองก็มีผลงานแค่เรื่องเดียว คือ ผลงานละครอิงอัตชีวประวัติ เรื่อง "วีรสตรีชิวจิ่น" (A Woman to Remember 1984) ที่มีดาราสาวหน้าใหม่ อย่าง กง ฉือเอิน ที่ทางค่ายปลุกปั้นขึ้นมา ร่วมแสดงเป็นเรื่องแรกอีกด้วย

ปัญหาสุขภาพและการกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง (พ.ศ. 2528-2529)

ในปีพ.ศ. 2528 ในขณะที่เธอยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการอยู่นั้น ในช่วงต้นปีเธอกลับตรวจพบว่าตัวเธอเองเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ขั้นต้น และผลวินิจฉัยออกมาว่าสาเหตุนั้นเกิดมาจากความผิดปกติในร่างกาย (ซึ่งร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน) รวมไปถึงการที่เธอรับประทานอาหารไม่สม่ำเสมอและยังไม่เป็นเวลาอีกด้วย ในช่วงเวลานั้นมีผู้คนมากมายแนะนำให้เธอถอนตัวออกจากวงการบันเทิง เพื่อจะได้มีเวลาเต็มที่ในการไปรักษาตัวเอง แต่เธอกลับเลือกที่จะทำงานในวงการบันเทิงที่เธอรักต่อไปควบคู่กับทำการรักษาโรคมะเร็งไปด้วย โดยเธอให้เหตุผลที่ซึ้งกินใจว่า

ถ้าเธอตายในขณะที่เธอยังได้ทำในสิ่งที่เธอรัก ถึงตายไปเธอก็ไม่เสียใจ

หลังจากเข้ารับการผ่าตัดและเคมีบำบัด พร้อมทั้งดูแลรักษาตัวอย่างระมัดระวัง ทำให้วัง หมิงเฉฺวียนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และกลับมาแข็งแรงพร้อมที่จะลุยงานในวงการบันเทิง อีกครั้ง

ต่อมาในปีเดียวกันเธอได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้ร่วมเล่นในละครฟอร์มใหญ่แห่งปี เรื่อง ขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang’s Saga 1985) ซึ่งละครเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์ยักษ์ที่รวมสุดยอดดาราดังเกือบทั้งหมดของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี มาแสดงร่วมกันโดยมี 5 พยัคฆ์ทีวีบี เป็นตัวเอก และได้ระดมทัพดาราแถวหน้าทั้งค่ายมาเล่นเป็นดารารับเชิญ ละครเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาเนื่องในโอกาสพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 18 ปี ทางช่องTVB ซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกและครั้งเดียวแห่งวงการจอแก้วฮ่องกงที่สามารถเอานักแสดงชื่อดังเกือบทั้งหมดของทางช่องมาเล่นในเรื่องเดียวกันได้

ในปีพ.ศ. 2529 ผลงานละครแนวอภินิหาร เรื่อง โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (The Lamp Lorc 1986) ที่ทำให้เธอกลับมาโด่งดังอย่างมากอีกครั้งกับบทบาท เจ้าแม่หัวซาน ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในตอนที่ออกฉายทางทีวี เพราะเธอสวมบทบาทนี้ได้อย่างสง่างาม และดูมีเมตตามาก ละครเรื่องนี้มี 30 ตอนจบ โดยเธอร่วมนำแสดงกับ เยิ่นต๊ะหัว, หยางพ่านพ่าน และ หลูไห่เผิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วละครเรื่องนี้เคยถูกทางช่องทีวีบีสร้างมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วในปีพ.ศ. 2519 โดยในตอนนั้นทางช่องได้สร้างเป็นละครเพลงขึ้นมาโดยมีชื่อละครว่า ละครตำนานรักพื้นบ้าน ตอน โคมวิเศษเจ้าแม่หัวซาน (民間傳奇》之寶蓮燈 1976) ซึ่งวัง หมิงเฉฺวียน ก็คือดารานำในบทเดียวกันของทั้งสองเวอร์ชันนั้นเอง นอกจากนี้เธอยังมีผลงานละครในปีเดียวกันอีกเรื่อง คือ ชวีหยวน กวีผู้รักชาติ (屈原1986)

การแสดงงิ้ว,พบรักแท้ และบทบาทการเมือง (พ.ศ. 2530-2543)

ในขณะที่เธอกลับมาได้รับความนิยมกับผลงานละครทีวีอีกครั้ง แต่แล้วในปีพ.ศ. 2530 เธอกลับหยุดพักงานแสดงละครทีวี 1 ปี เพื่อหันไปทุ่มเทให้กับทางด้านการเล่นละครงิ้วกวางตุ้ง ที่เธอได้แสดงนำในเรื่อง มู่กุ้ยอิง ยอดหญิงตระกูลหยาง (Mu Guiying-穆桂英) และก็ถือได้ว่าเธอได้พบรักแท้จากการที่ได้ร่วมแสดงละครงิ้วในครั้งนี้กับนักแสดงงิ้วกวางตุ้งชายอันดับหนึ่งของฮ่องกงในยุคนั้นอย่าง "หลอเจียอิง" (羅家英) ผู้ซึ่งมีอายุแก่กว่าเธอแค่ 1 ปี จากความใกล้ชิดสนิทสนิมกันในตอนฝึกซ้อมนานหลายเดือน และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันอีกทั้งยังมีมุมมองการใช้ชีวิตที่คล้าย ๆ กันอีก ทำให้ต่อมาทั้งคู่ตัดสินใจลองคบหากันดูอย่างเปิดเผย และจากการสวมบทบาทเป็น "มู่กุ้ยอิง" ในละครงิ้วเรื่องนี้ของเธอ ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากผู้คนในฮ่องกงที่ได้มีโอกาสไปดูการแสดงงิ้วของเธอบนเวทีการแสดง และก็เป็นละครงิ้วกวางตุ้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีนั้น จนทำให้ในปีถัดมาพ.ศ. 2531 (1988) เธอและแฟนของเธอ "หลอเจียอิง" ได้ร่วมกันก่อตั้งคณะละครงิ้วกวางตุ้งฟู่เซิง (Fusheng) ขึ้นมา ภายใต้ บริษัท ฟูกูซูมิ เรียวจู (Fukuzumi Ryojuu) ที่เธอร่วมเปิดกับครอบครัวของหลอเจียอิง ประจวบกับที่เธอถูกเสนอชื่อให้เข้าสู่การเมือง และก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนฮ่องกงในสภาผู้แทนราษฎรแห่งชาติโดยเธอจะต้องทำหน้าที่นี้เป็นระยะเวลาโดยประมาณ 10 ปี และในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ เธอยังได้ทำงานด้านช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปด้วย เช่น งานด้านมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี โดยเธอมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวกับเด็กและสตรีกว่า 40 คดี ในช่วงที่เธอมีบทบาททางการเมือง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอไม่มีเวลาว่างพอที่จะรับเล่นละครได้เหมือนแต่ก่อน แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามเจียดเวลามาเล่นละครให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึงเป็นช่วง ๆ ผลงานที่ตามมาได้แก่ ละครตอนสั้น เรื่อง คนบาป (Behind Silk Curtains 1988) ซึ่งนำแสดงโดย เจิ้งเส้าชิว, ชีเหม่ยเจิน, โจวซิงฉือ, เหลียงเฉาเหว่ย และ หลิวเจียหลิง, ละครแนวสากลเรื่อง แดดจ้า (朝阳 1990) แสดงร่วมกับ หลีซือฉี และ เหมาซุ่นจวิน (毛舜筠) และละครโบราณเรื่อง ฤทธิ์กระบี่ฟ้าคำรณ (The Sword of Conquest 1991) นำแสดงโดย กวนหลี่เจี๋ย, โจวไห่เม่ย และ เส้าจงเหิง

จนกระทั่งดำรงตำแหน่งครบวาระในปีพ.ศ. 2539 (1997) เธอก็ได้ถอนตัวจากการเมืองและกลับเข้าสู่วงการบันเทิงในปีพ.ศ. 2541 (1998) เพื่อมารับงานแสดงเหมือนเดิมกับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี โดยประเดิมผลงานที่ทำให้เธอกลับเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งกับบทบาทอาหญิง ฟางเจี้ยนผิง ในละครสากลสุดฮิตเรื่อง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด (At the Threshold of an Era 1999) เป็นละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศในปีพ.ศ. 2542 กล่าวถึงเรื่องราวของเพื่อนรักทั้งสองคนที่ต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นำแสดงโดย หลอเจียเหลียง, ก๊วะจิ้งอัน, เฉินจิ้งหง และ กู่เทียนเล่อ ถือได้ว่าการปรากฏตัวของเธอในเรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงและความนิยมให้กับเธออย่างมากอีกครั้ง และจากความโด่งดังของละครชุดนี้ทำให้มีการสร้างภาคสองตามออกมาในปีถัดมา เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ภาค 2 ในปีพ.ศ. 2543 (At the Threshold of an Era 2000) โดยมีนักแสดงบางคนจากภาคแรกมาแสดงนำต่อตามต่อด้วยละครสากลในปีเดียวกันอย่างเรื่อง ทีมพยัคฆ์ล่าทรชน (A Matter Of Custom 2000) ที่เธอรับบทเป็น หลี่ฟุหมิง และยังมีนักแสดงที่ร่วมแสดงนำอย่างเช่น หลี่ชิวเสียน, หวังสี่ และ ซวนซวน

ยุคหลังของเธอ (พ.ศ. 2544-ปัจจุบัน)

หลังจากที่ฮ่องกงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองกลับคืนสู่ประเทศจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (1997) วงการบันเทิงฮ่องกงก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำในตลาดเอเชียมาตั้งแต่นั้น โดยถูกส่วนแบ่งการตลาดเอเชียกับละครซีรีส์จากประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน, จีน และเกาหลี โดยเฉพาะซีรีส์เกาหลี ในตอนนั้นสามารถไปตีตลาดนอกประเทศเกาหลีได้สำเร็จและไปดังในหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชีย และเกิดกระแสฟีเวอร์ซีรีส์เกาหลีขึ้นมาแทนละครชุดฮ่องกงโดยเฉพาะในประเทศไทย เป็นผลทำให้ละครดังในฮ่องกงหลายเรื่องไม่ได้ไปแพร่หลายตามตลาดเอเชีย และถึงแม้จะมีละครดังในฮ่องกงบางเรื่องได้นำออกสู่ตลาดเอเชีย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมหรือประสบความสำเร็จเหมือนดั่งในอดีตอีกเลย

ถึงแม้เข้าสู่ยุคตกต่ำของละครชุดฮ่องกงในตลาดต่างประเทศก็ตาม แต่สำหรับในฮ่องกงเองแล้วความนิยมในละครของบ้านเกิดตัวเองก็ยังคงเหมือนเดิม และตัวของวัง หมิงเฉฺวียนเองก็ยังคงมีผลงานที่ดัง ๆ และได้รับความนิยมในประเทศฮ่องกงอยู่ตลอด ซึ่งความนิยมชมชอบในตัวเธอของผู้ชมชาวฮ่องกง ยังคงเหมือนเดิมและไม่เปลี่ยนแปลงกว่า 50 ปีจนเธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ดาวค้างฟ้า ตลอดกาลของชาวฮ่องกง มาจนถึงทุกวันนี้

ผลงานละครดัง ๆ ในยุคหลัง ๆ ที่ทำให้เธอได้ทั้งรางวัลและความนิยมมากมายในประเทศฮ่องกง แต่ไม่ได้ไปดังในตลาดต่างประเทศ ได้แก่:-

  • ในปีพ.ศ. 2544 หลิวสงเหยินและวัง หมิงเฉฺวียน ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่ไม่ได้เล่นละครร่วมกันนานถึง 21 ปี คือเรื่อง พลิกชะตาพลิกชีวิต (The awakening story 2001)
  • ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2545 เธอได้ตรวจพบอีกครั้งว่ามีเนื้องอกในเต้านมระยะแรกหลังจากที่เธอได้เข้าตรวจร่างกายประจำปีต่อมาเธอจึงเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกออกทันทีและสภาพร่างกายของเธอก็กลับมาแข็งแรงอย่างรวดเร็ว ทำให้ วัง หมิงเฉฺวียน ตระหนัก ถึงภัยร้าย จึงพยายามอย่างหนักที่จะรณรงค์ให้ผู้หญิงทุกคนหมั่นทำการตรวจร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หลังจากกลับมาเป็นปกติเธอก็มีละครในปีเดียวกันอย่างเรื่อง รักจำยอม (Let's Face It 2002) ที่เธอร่วมนำแสดงกับ หม่าเต๋อจง, จางเข่ออิ๋ง, เฉียนเจียเล่อ, กั๊วะฟง, ม่อเจียเซี่ยว, หวงเจียเล่อ, ไต้จื้อเหว่ย, หวงจื่อหยิง, ถังหนิง, จูว่านอี้
  • ในปีพ.ศ. 2547 ละครกำลังภายในเรื่อง กระบี่พิฆาตแค้น (Blade Heart 2004) ได้กลับมาประกบกับพระเอกคู่ขวัญในอดีตอย่าง เจิ้งเส้าชิว อีกครั้ง โดยเธอรับบทเป็น ฮูหยินหวัง บทบาทที่เธอเล่ยในเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก
  • ปีพ.ศ. 2548 ละครสุดฮิตในฮ่องกงเรื่อง สะใภ้ป่วน ตำหนักรักอลวน (Wars Of In-Laws 2005) นำแสดงโดยวัง หมิงเฉฺวียน, หวงจงเจ๋อ, สือซิว เป็นละครตลกย้อนยุคในราชวงศ์ชิง ซึ่งเธอก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมในฮ่องกงไม่น้อยเลยกับบทบาทของแม่สามีผู้เป็นราชนิกูลซึ่งไม่ถูกกับลูกสะใภ้ที่มาจากชนบท และเธอก็สามารถคว้ารางวัลจากการแสดงในเรื่องนี้อีกด้วย
  • ซุนหมิงอี้ ทนายปากทอง (When Rules Turn Loose 2005) นำแสดงโดยวัง หมิงเฉฺวียน ,หูเหิงเอ๋อ , เซียะหวี,เหว่ยจุ้นเจี๋ย,เฉินเจี้ยนฟง และ หลีเย่าเสียง โดยเธอรับบทเป็นทนายซุน
  • ละครเรื่อง ราตรีแห่งเซี่ยงไฮ้ (Glittering Days 2006)
  • ละครเรื่อง สะใภ้ป่วน ตำหนักรักอลวน ภาค2 (Wars Of In Laws TVB 2008)
  • ละครเรื่องมังกรซ่อน ลาย (WHEN EASTERLY SHOWERS FALL ON SUNNY WEST 2008)
  • ละครซิทคอมแนวตลกสนุกสนานเรื่อง ออฟฟิตซ่าส์ เลขาแซ่บ (OL Supreme 2010) มีความยาวถึง 80 ตอนจบ แต่ตอนละ 20 นาทีเพราะเป็นแค่ละครซิทคอม นำแสดงโดยวัง หมิงเฉฺวียน, ตู้เหวินเจ๋อ Chapman To, เหอวั่นซือ Denise Ho, อู๋จัวซี Ron Ng, เฉินชานฉง Joel Chan, กัวฟง, เฉินกั๊วปัง, จางกว๋อเฉียง และ หลิวเจียง Lau Kong และในปีเดียวกันก็มีอีกผลงาน คือเรื่อง ซ่อมรักบ้านสานฝัน (HOME TROOPERS 2010)
  • ละครแนวสืบสวนปนตลกเรื่อง นักสืบเหนือมิติ (Super Snoops 2011)
  • ละครดราม่าเรื่อง ฉากรักม่านมายา (Divas in Distress 2012)
  • ละครเรื่อง มรสุมชีวิต ลิขิตพระจันทร์ (Moonlight Resonance 2018)
  • อีกทั้งในช่วงปีพ.ศ. 2545-2551 เธอได้กลับมามีบทบาททางการเมืองที่โดดเด่นอีกครั้งและยังอุทิศตนให้กับองค์กรข่วยเหลือทางสังคม ได้แก่ เข้าร่วมเป็นทูตของอ๊อกแฟม (Oxfam) สาขาฮ่องกง (องค์กรช่วยเหลือเด็กยากจนทั่วโลก), คณะกรรมการต่อต้านสภาสมาคมโรคมะเร็งฮ่องกง, สมาชิกสภาที่ปรึกษาทางการเมืองรัฐบาล จีน-ฮ่องกง (Chinese People’s Political Consultative), ประธานกรรมสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อโทรทัศน์ และ ประธานสมาพันธ์อุปรากร จีน–ฮ่องกง เป็นต้น

ปัจจุบันเธอยังคงทำงานทั้งในวงการบันเทิงและยังคงมีบทบาททางการเมืองควบคู่ไปกับอุทิศตนในองค์กรช่วยเหลือสังคม ทางด้านต่าง ๆ โดยมีสามี หลอเจียอิง อยู่เคียงข้าง

แหล่งที่มา

WikiPedia: วัง หมิงเฉฺวียน http://hkmdb.com/db/people/view.mhtml?id=3636&disp... http://www.imdb.com/name/nm2047990/ http://www.lizawang.com http://news.stheadline.com/figure/?id=186 http://m.tianya999.com/yule/2017/1024/12796139.htm... http://www.tvb888.com/TvNews/Star/19776/ http://news.xinhuanet.com/english/2007-12/31/conte... http://www.thestandard.com.hk/news_detail.asp?pp_c... http://www6.cityu.edu.hk/puo/CityUMember/Story/Sto... http://buzzlife.com.tw/article/1460104919/